God the eternal Spirit was active with the Father and the Son in Creation, incarnation, and redemption. He inspired the writers of Scripture. He filled Christ's life with power. He draws and convicts human beings; and those who respond He renews and transforms into the image of God. Sent by the Father and the Son to be always with His children, He extends spiritual gifts to the church, empowers it to bear witness to Christ, and in harmony with the Scriptures leads it into all truth.—Fundamental Beliefs, 5

พระเจ้าพระวิญญาณนิรันดร์ทรงทำหน้าที่ร่วมกับพระบิดาและพระบุตรในการเนรมิตสร้าง การเสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ และการไถ่ให้รอด พระองค์ทรงดลใจผู้เขียนพระคัมภีร์ ทรงประทับอยู่ในชีวิตของพระคริสต์ด้วยฤทธิ์เดช พระองค์ทรงนำมนุษย์และช่วยให้เขาตัดสินใจ และบรรดาผู้ตอบสนองต่อการทรงเรียก พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้เข้าสู่พระฉายาของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดาและพระบุตรทรงได้ทรงประทานพระวิญญาณลงมาประทับอยู่กับบุตรทั้งหลายของพระองค์เสมอ พระวิญญาณทรงประทานของประทานฝ่ายพระวิญญาณแก่คริสตจักร มอบอำนาจเพื่อจะเกิดผลในการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ และร่วมประสานกับพระคัมภีร์เพื่อนำไปสู่ความจริงทั้งหมด - หลักข้อเชื่อข้อที่ 5


Chapter 5 (บทที่ 5)
God the Holy Spirit
พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์

Though the crucifixion had bewildered, anguished, and terrified Jesus' followers, the resurrection brought morning to their lives.

ถึงแม้ว่าการที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนทำให้บรรดาผู้ติดตามพระองค์สับสน เจ็บปวดรวดร้าว และหวาดกลัวก็ตาม การฟื้นขึ้นจากความตายก็ได้นำเอาเช้าแห่งชีวิตมามอบให้แก่คนเหล่านั้น

When Christ broke the shackles of death, the kingdom of God dawned in their hearts.

เมื่อพระคริสต์ทรงหักทำลายเคียวของความตายได้ อาณาจักรของพระเจ้าก็ได้ผุดขึ้นในใจของเขาทั้งหลาย

Now unquenchable fire burned within their souls. Differences that a few weeks earlier had erected nasty barriers among the disciples melted.

บัดนี้ไฟที่ไม่มีอะไรมาดับได้ ลุกโพลงอยู่ในจิตวิญญาณของคนเหล่านี้ แตกต่างไปจากหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ความขมขื่นใจที่เกิดขึ้นท่ามกลางอัครสาวกทำให้จิตใจของพวกเขาละลายไป

They confessed their faults to one another and opened themselves more fully to receive Jesus, their ascended King.

พวกเขาสารภาพความผิดพลาดนี้แก่กันและกันและเปิดกว้างเพื่อรับเอาพระเยซู กษัตริย์ผู้เสด็จกลับคืนสวรรค์ของเขาอย่างเต็มที่

The unity of this once-scattered flock grew as they spent day after day in prayer. One unforgettable day they were praising God when a noise like the roar of a tornado ripped through their midst. As though the burning in their hearts were becoming visible, fiery flames descended on each head. Like a rampaging fire, the Holy Spirit descended upon them.

ความเป็นหนึ่งเดียวกันของฝูงแกะที่ครั้งหนึ่งเคยแตกกระจัดกระจายเพิ่มมากขึ้น เมื่อพวกเขาใช้เวลาร่วมกันในการอธิษฐานวันแล้ววันเล่า วันหนึ่งที่ไม่อาจลืมได้ เมื่อคนเหล่านั้นร่วมกันสรรเสริญพระเจ้า เมื่อมีเสียงดังกระหึ่มราวกับเสียงพายุหมุนที่พัดเข้ามาท่ามกลางพวกเขา ราวกับว่าสิ่งที่เผาร้อนอยู่ในใจนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ เมื่อลูกไฟลอยลงมาเหนือศีรษะของแต่ละคน เหมือนไฟที่ลุกลาม พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนือพวกเขาแล้ว

Filled with the Spirit, the disciples could not contain their new ardent love and joy in Jesus. Publicly, and enthusiastically, they began to proclaim the good news of salvation. Alerted by the sound, a multitude of local citizens along with pilgrims from many nations flocked to the building. Filled with amazement and confusion, they heard—in their own language—powerful testimonies to God's mighty works spoken by unsophisticated Galileans.

เมื่อเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ บรรดาสาวกไม่อาจเก็บเอาความร้อนรนแห่งความรักและความชื่นชมยินดีใหม่ที่อยู่ในตัวเขาไว้ได้ เขาจึงออกไปยังที่ต่าง ๆ เริ่มต้นประกาศข่าวดีแห่งความรอดด้วยความกระตือรือร้น ฝูงชนจำนวนมากมายที่ตื่นตัวเนื่องจากเสียงดัง ทั้งคนในพื้นที่และคนที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองหลายประเทศเพื่อแสวงบุญ ได้มารวมตัวกันที่อาคาร ทุกคนต่างประหลาดใจและสับสนในสิ่งที่ได้ยิน เป็นเสียงภาษาพูดของเขาเอง เป็นคำพยานที่มีพลังมากมาย ถึงกิจการใหญ่ของพระเจ้าที่ประกาศโดยคนบ้านนอกชาวกาลิลีเหล่านั้น

"I don't understand," said some, "What does this mean?" Others tried to pass it off with, "They're drunk." "Not so," Peter cried above the noise of the crowd. "It's only nine o'clock in the morning. What you have heard and seen is taking place because the resurrected Jesus Christ has been exalted to the right hand of God and is giving us the Holy Spirit now" (Acts 2).

บางคนพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจ นี่คืออะไรกันแน่?” บ้างก็พยายามพูดเลี่ยงว่า “คนพวกนี้เมาเหล้า” เปโตรจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงดังท่ามกลางความอื้ออึงว่า “ไม่ใช่หรอก นี่เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น สิ่งที่พวกท่านได้ยินและเห็นกำลังเกิดขึ้นนั้น เพราะพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ได้รับการยกย่องให้ประทับเบื้องขวาของพระเจ้า พระองค์ได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่เราทั้งหลาย” (กิจการบทที่ 2)

Who Is the Holy Spirit?

The Bible reveals that the Holy Spirit is a person, not an impersonal force. Statements such as "It seemed good to the Holy Spirit, and to us" (Acts 15:28) reveal that the early believers viewed Him as a person. Christ also spoke of Him as a person. Christ also spoke of Him as a distinct person. "'He will glorify Me.'" He said, "'for He will take of what is Mine and declare it to you'" (John 16:14). Scriptures referring to the triune God describe the Spirit as a person (Matt. 28:19; 2 Cor. 13:14).

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้ใด?

พระคัมภีร์ได้เปิดเผยให้ทราบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล ไม่ใช่พลังอำนาจที่ไม่มีตัวตน ข้อความเช่น “เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และเราเห็นชอบ” (กิจการ 15:28) แสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อในยุคแรกนั้นมีทัศนะต่อความมีตัวตนของพระองค์ พระคริสต์ทรงตรัสถึงพระวิญญาณด้วยว่าทรงเป็นองค์หนึ่ง ว่าเป็นองค์ที่แตกต่างออกไป “พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน (ยอห์น 16:14) พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพระเจ้าทั้งสามพระภาค โดยกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล (มัทธิว 28:19; 2 โครินธ์ 13:14)

The Holy Spirit has personality. He strives (Gen. 6:3), teaches (Luke 12:12), convicts (John 16:8), directs church affairs (Acts 13:2), helps and intercedes (Rom. 8:26), inspires (2 Peter 1:21), and sanctifies (1 Peter 1:2). These activities cannot be performed by a mere power, influence, or attribute of God. Only a person can do them.

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีตัวตน พระองค์ทรงพยายาม (ปฐมกาล 6:3) ทรงสอน (ลูกา 12:12) ทรงให้สำนึก (ยอห์น 16:8) ทรงนำคริสตจักร (กิจการ 13:2) ทรงวิงวอนแทน (โรม 8:26)ทรงดลใจ (2 เปโตร 1:21) และทรงชำระให้บริสุทธิ์ (1 เปโตร 1:2) ภารกิจต่าง ๆ เหล่านี้ไม่สามารถกระทำได้เพียงเพราะมีอำนาจ มีแรงจูงใจหรือมีพระลักษณะของพระเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ทำได้ต้องมีตัวตน

The Holy Spirit Is Truly God

Scripture views the Holy Spirit as God. Peter told Ananias that, in lying to the Holy Spirit, He had lied not "'to men but to God'" (Acts 5:3, 4). Jesus defined the unpardonable sin as "'blasphemy against the Spirit, '" saying, "'Anyone who speaks a word against the Son of Man, it will be forgiven him; but whoever speaks against the Holy Spirit, it will not be forgiven him, either in this age or in the age to come'" (Matt. 12:31, 32). This could be true only if the Holy Spirit is God.

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้าแท้

พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า เปโตรกล่าวแก่อานาเนียถึงการหลอกลวงพระวิญญาณ ว่า “เจ้าไม่ได้โกหกมนุษย์แต่โกหกพระเจ้า” (กิจการ 5:3, 4) พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่าบาปที่ไม่อาจยกให้ได้คือ “การหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์” ทรงตรัสว่า “บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ ถ้าใครกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นได้ แต่ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” (มัทธิว 12:31, 32) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จริงต่อเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้น (โรม 1:20)

Scripture associates divine attributes with the Holy Spirit. He is life. Paul referred to Him as the "Spirit of life" (Rom. 8:2). He is truth. Christ called Him the "'Spirit of truth'" (John 16:13). The expressions "love of the Spirit" (Rom. 15:30) and "the Holy Spirit of God" (Eph. 4:30) reveal that love and holiness are part of His nature.

พระคัมภีร์ได้เชื่อมโยงคุณสมบัติความเป็นพระเจ้ากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลกล่าวถึงพระองค์ว่าทรงเป็น “พระวิญญาณแห่งชีวิต” (โรม 8:2) ทรงเป็นความจริง พระคริสต์ทรงเรียกพระวิญญาณว่า “พระวิญญาณแห่งความจริง” (ยอห์น 16:13) แสดงออกมาให้เห็นว่าทรงเป็น “ความรักของพระวิญญาณ” (โรม 15:30) และ “พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า” (เอเฟซัส 4:30) เปิดเผยให้เห็นถึงความรักและความบริสุทธิ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระลักษณะของพระองค์

The Holy Spirit is omnipotent. He distributes spiritual gifts "to each one individually as He wills" (1 Cor. 12:11). He is omnipresent. He will "'abide'" with His people "'forever'" (John 14:16). None can escape His influence (Ps. 139:7-10). He also is omniscient, because "the Spirit searches all things, yes, the deep things of God" and "no one knows the things of God except the Spirit of God" (1 Cor. 2:10, 11).

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสรรพานุภาพ (มีอำนาจทุกอย่าง ความสามารถทุกทาง) พระองค์ทรงจัดสรรของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ “ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” (1 โครินธ์ 12:11) พระองค์ทรงเป็นองค์สากลสถิต (ประทับอยู่ทุกหนทุกแห่ง) พระองค์จะทรง “อยู่กับท่าน” อยู่กับผู้เชื่อพระองค์ “ตลอดไป” (ยอห์น 14:16) ไม่มีใครสามารถหนีไปจากราชอำนาจของพระองค์ได้ (สดุดี 139:7-10) ovd0kdouhพระองค์ทรงเป็นองค์สัพพัญญูด้วย เพราะ “พระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า” และ “ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน” (1 โครินธ์ 2:10, 11)

The works of God are also associated with the Holy Spirit. Creation and resurrection both involve Him. Said Elihu, "'The Spirit of God has made me, and the breath of the Almighty gives me life'" (Job 33:4). And the psalmist said, "You send forth Your Spirit, they are created" (Ps. 104:30). Paul claimed, "He who raised Christ from the dead will also give life to your mortal bodies through His Spirit who dwells in you" (Rom. 8:11).

พระราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงมีส่วนทั้งในการเนรมิตสร้างและการเป็นขึ้นมาจากความตาย เอลีฮูกล่าวว่า “พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า และลมปราณขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า” (โยบ 33:4) และผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวว่า “เมื่อพระองค์ทรงส่งวิญญาณของพระองค์ออกไป มันก็ถูกสร้างขึ้นมา และพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของพื้นดินเสียใหม่” (สดุดี 104:30) เปาโลกล่าวถึงสิทธิว่า “พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน” (โรม 8:11)

Only an omnipresent personal God, not an impersonal influence, nor a created being, could perform the miracle of bringing the divine Christ to one individual, Mary. At Pentecost the Spirit made the one God-man, Jesus, universally present to all willing recipients.

มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงสากลสถิต (อยู่ทั่วทุกหนแห่ง) ผู้สามารถทำได้ ไม่ใช่อำนาจของบุคคลผู้ไม่มีตัวตน หรือผู้ใดที่ได้รับการสร้างขึ้นมา จะสามารถกระทำการอัศจรรย์ในการนำเอาสภาพพระเจ้าของพระคริสต์เข้ามาสู่ชีวิตของแต่ละคน เช่นมารีย์ เป็นต้น ในวันเพนเทคอส พระวิญญาณได้กระทำให้พระเยซูพระเจ้า-มนุษย์ สถิตอยู่กับคนทั้งหลายทั่วโลกที่ยินดีรับเอาพระองค์

The Holy Spirit is considered equal with the Father and the Son in the baptismal formula (Matt. 28:19), the apostolic blessing (2 Cor. 13:14), and the spiritual-gifts discourse (1 Cor. 12:4-6).

พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รับการยอมรับว่ามีความเท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดาและพระบุตรในหลักการรับบัพติศมา (มัทธิว 28:19) คำอำนวยพรของอัครสาวก (2 โครินธ์ 13:14) และในการมอบหมายของประทานฝ่ายพระวิญญาณ (1 โครินธ์ 12:4-6).

The Holy Spirit and the Godhead

From eternity God and Holy Spirit lived within the Godhead as the third member. The Father, Son, and Spirit are equally self-existent. Though each is equal, an economy of function operates within the Trinity (see Chapter 2 of this book).

พระวิญญาณบริสุทธิ์และพระเจ้าสามพระภาค (ตรีเอกานุภาพ)

พระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำรงอยู่ร่วมกันในตรีเอกานุภาพ พระวิญญาณเป็นองค์ที่สาม พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เองอย่างเท่าเทียม ถึงแม้ว่าทั้งสามพระองค์เท่าเทียมกัน แต่ละพระองค์ทรงมีหน้าที่ภายในตรีเอกานุภาพเท่าเทียมกัน (ดูบทที่ 2 ของหนังสือเล่มนี้)

The truth about God the Holy Spirit is best understood as seen through Jesus. When the Spirit comes to believers, He comes as the "Spirit of Christ"—He does not come in His own right, carrying His own credentials. His activity in history centers in Christ's mission of salvation. The Holy Spirit was actively involved in Christ's birth (Luke 1:35), confirmed His public ministry at baptism (Matt. 3:16, 17), and brought the benefits of Christ's atoning sacrifice and resurrection to humanity (Rom. 8:11).

ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถเข้าใจได้ดีเมื่อเห็นได้จากพระเยซู เมื่อพระวิญญาณประทับอยู่ในบรรดาผู้เชื่อ พระองค์เสด็จมาในฐานะของ “พระวิญญาณของพระคริสต์” พระองค์ไม่ได้เสด็จมาด้วยสิทธิของพระองค์เอง หรือด้วยใบอนุญาตของพระองค์เอง พระราชกิจของพระวิญญาณในอดีตรวมศูนย์อยู่ที่พันธกิจแห่งความรอดของพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการประสูติของพระคริสต์ (ลูกา 1:35) ยืนยันในการประกาศพระราชกิจของพระองค์ต่อหน้าประชาชนเมื่อทรงรับบัพติศมา (มัทธิว 3:16, 17) และทรงนำเอาการช่วยเหลือที่ได้จากการเป็นเครื่องบูชาลบบาปของพระคริสต์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์มาสู่มนุษยชาติทั้งมวล (โรม 8:11)

In the Godhead, the Spirit seems to fulfill the role of executor. When the Father gave His Son to the world (John 3:16), He was conceived of the Holy Spirit (Matt. 1:18-20). The Holy Spirit came to complete the plan, to make it a reality.

ในพระเจ้าทั้งสามพระภาคนั้น ดูเหมือนว่าพระวิญญาณทรงทำหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงาน เมื่อพระบิดาประทานพระบุตรให้แก่โลก (ยอห์น 3:16) พระองค์ปฏิสนธิในครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัทธิว 1:18-20) พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเพื่อให้แผนงานนั้นสมบูรณ์ ให้เป็นความจริงตามที่วางไว้

The Holy Spirit's intimate involvement in creation is seen in His presence at Creation (Gen. 1:2). Life's origin and maintenance depends on His operation; His departure means death. Said the Bible, If God "'should gather to Himself His Spirit and His breath, all flesh would perish together, and man would return to dust'" (Job 34:14, 15; cf. 33:4).

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเข้าร่วมในการเนรมิตสร้างอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงปรากฏอยู่ในการเนรมิตสร้าง (ปฐมกาล 1:2) กำเนิดของชีวิตและการธำรงชีวิตขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานของพระองค์ การจากไปของพระวิญญาณหมายถึงความตาย พระคัมภีร์กล่าวว่า ถ้าพระเจ้า “ถ้าพระองค์ทรงให้วิญญาณของพระองค์กลับสู่พระองค์ และทรงรวบรวมลมปราณของพระองค์กลับมาหาพระองค์ เนื้อหนังทั้งสิ้นก็จะพินาศไปด้วยกัน และมนุษย์ก็จะกลับไปเป็นผงคลีดิน” (โยบ 34:14, 15 ดูบทที่ 33:4)

We can see reflections of the Spirit's creative work in His re-creative work within each person who is open to God. God carries out His work within individuals through the Creator Spirit. So in incarnation, creation, and re-creation, the Spirit comes to bring God's intention to fulfillment.

เราสามารถมองเห็นภาพที่สะท้อนพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระวิญญาณ จากการที่พระองค์ได้ทรงสร้างชีวิตของแต่ละคนที่เปิดใจรับพระเจ้าขึ้นมาใหม่ พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของแต่ละคนโดยทางพระวิญญาณผู้ทรงสร้าง ดังนั้น ในการมาประสูติ (ของพระคริสต์) การเนรมิตสร้างและการสร้างขึ้นมาใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเพื่อทำให้เจตนาของพระเจ้าสำเร็จผล

The Promised Spirit

We were intended to be dwelling places of the Holy Spirit (see 1 Cor. 3:16). Adam and Eve's sin separated them from both the Garden and the indwelling Spirit. That separation continues—the enormity of wickedness before the Flood led God to declare, "'My Spirit shall not strive with man forever'" (Gen. 6:3).

พระวิญญาณตามพระสัญญา

ชีวิตของเรามีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดู 1 โครินธ์ 3:16) ความบาปของอาดัมและเอวาได้แยกเขาออกจากสวนและการสถิตอยู่ของพระวิญญาณ การแตกแยกนี้ดำเนินต่อไป ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นอย่างดาษดื่นก่อนน้ำท่วมโลก ได้ทำให้พระเจ้าทรงประกาศว่า "วิญ‍ญาณของเราจะไม่ต่อสู้กับมนุษย์ตลอดกาล” (ปฐมกาล 6:3)

In Old Testament times the Spirit equipped certain individuals to perform special tasks (Num. 24:2; Judges 6:34; 1 Sam. 10:6). At times He is "in" persons (Ex. 31:3; Isa. 63:11). Undoubtedly genuine believers have always had an awareness of His presence, but prophecy predicted a pouring out of the Spirit "'on all flesh'" (Joel 2:28)—a time when a greater manifestation of the Spirit would usher in a new age.

ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระวิญญาณทรงมอบความสามารถให้แก่บางคนสามารถปฏิบัติกิจพิเศษต่างๆ (กันดารวิถี 24:2 ผู้วินิจฉัย 6:34; 1 ซามูเอล 10:6) ขณะนั้นพระองค์ทรงเข้าไปประทับ “เต็มเปี่ยม” ในผู้นั้น (อพยพ 31:3 อิสยาห์ 63:11) ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่าผู้เชื่อแท้นั้นตระหนักถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระวิญญาณเป็นอย่างดี แต่มีคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงการเสด็จลงมาของพระวิญญาณมา “เหนือมนุษย์ทั้งปวง” (โยเอล 2:28) เป็นเวลาที่พระวิญญาณทรงสำแดงพระองค์อย่างเต็มที่ อันจะนำไปสู่ยุคใหม่

While the world remained in the hands of the usurper, the pouring out of the fullness of the Spirit had to wait. Before the Spirit could be poured out upon all flesh Christ must carry out His earthly ministry and make the atoning sacrifice. Pointing to Christ's ministry as a Spirit ministry, John the Baptist said, "'I indeed baptize you with water'" but He "'will baptize you with the Holy Spirit'" (Matt. 3:11).

ขณะที่โลกยังตกอยู่ในมือของผู้ที่แย่งชิงไป (ซาตาน) การหลั่งลงมาอย่างเต็มบริบูรณ์ของพระวิญญาณเป็นสิ่งที่เราต้องรอคอย ก่อนที่พระวิญญาณจะสามารถหลั่งลงมาเหนือมนุษย์ทั้งหลายนั้น พระคริสต์จะต้องทำหน้าที่ในพระราชกิจของพระองค์และทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเสียก่อน ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาชี้ไปที่พระราชกิจของพระเยซูว่าเหมือนกับพระราชกิจของพระวิญญาณ “ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ” แต่ “จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 3:11)

But the Gospels do not reveal Jesus baptizing with the Holy Spirit. Just hours before His death, Jesus promised His disciples, "'I will pray the Father, and He will give you another Helper, that He may abide with you forever, even the Spirit of truth'" (John 14:16, 17).

พระธรรมพระกิตติคุณไม่ได้เปิดเผยการรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซู ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูทรงสัญญาแก่อัครสาวกของพระองค์ว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ยอห์น 14:16, 17)

Was the promised baptism of the Spirit received at the cross? No dove appeared on crucifixion Friday—only darkness and bolts of lightning.

พระสัญญาการรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณที่ไม้กางเขนมีหรือไม่? วันศุกร์นั้นไม่มีนกพิราบบินอยู่เหนือการตรึงกางเขน นอกจากความมืดและฟ้าร้องฟ้าผ่าเท่านั้น

Not until after His resurrection did Jesus breathe the Spirit on His disciples (John 20:22). He said, "'Behold, I send the Promise of My Father upon you; but tarry in the city of Jerusalem until you are endued with power from on high'" (Luke 24:49).

จนกระทั่งหลังจากการเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูได้ทรงประทานพระวิญญาณมาเหนือบรรดาอัครสาวกของพระองค์ (ยอห์น 20:22) ทรงตรัสว่า “นี่แน่ะ เราจะส่งสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญานั้นลงมาเหนือท่าน แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุง จนกว่าท่านจะสวม ด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน[ แปลได้อีกว่า ท่านจะได้รับฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบนอย่างเต็มล้น ] ” (ลูกา 24:49)

This power would be received "'when the Holy Spirit has come upon you, '" making believers His witnesses to the ends of the earth (Acts 1:8).

พระธรรมพระกิตติคุณไม่ได้เปิดเผยการรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซู ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูทรงสัญญาแก่อัครสาวกของพระองค์ว่ฤทธิ์เดชนี้จะได้รับเมื่อ “พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ” เพื่อให้บรรดาผู้เชื่อทั้งหลายออกไปเป็นพยานจนสุดปลายแผ่นดินโลก (กิจการ 1:8)

John wrote, "'The Holy Spirit was not yet given, because Jesus was not yet glorified'" (John 7:39). The Father's acceptance of Christ's sacrifice was the pre-requisite for the outpouring of the Holy Spirit.

ยอห์นบันทึกไว้ว่า “เพราะว่าพระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย[ สำเนาโบราณบางฉบับว่า เพราะว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณ ] เพราะพระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ” (ยอห์น 7:39) การที่พระบิดาทรงรับการถวายบูชาของพระคริสต์ เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นเพื่อการหลั่งลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์

The new age broke in only when our victorious Lord was seated on heaven's throne. Only then could He send the Holy Spirit in His fullness. After "'being exalted to the right hand of God, '" Peter said, He "'poured out'" the Holy Spirit (Acts 2:33) upon His disciples, who, anxiously anticipating this event, had gathered "with one accord in prayer and supplication" (Acts 1:5, 14).

ยุคใหม่เริ่มขึ้นเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยชนะ ประทับอยู่บนพระบัลลังก์บนสวรรค์ หลังจากนั้น พระองค์จึงทรงสามารถส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเต็มขนาดลงมา หลังจากที่ “เมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว” เปโตรกล่าวว่า “พระองค์ทรงเท” พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเหนือบรรดาอัครสาวก (กิจการ 2:33) ผู้รอคอยด้วยความตื่นเต้นในเหตุการณ์นั้น พวกเขาได้รวมตัวกัน “พวกเขาอุทิศตัวอธิษฐานด้วยกัน” (กิจการ 1:5, 14)

At Pentecost, fifty days after Calvary, the new age burst forth with all the power of the Spirit's presence. "And suddenly there came a sound from heaven, as of a rushing mighty wind, and it filled the whole house where they [the disciples] were sitting. . . . And they were all filled with the Holy Spirit" (Acts 2:2-4).

ในวันเพนเทคอส ห้าสิบวันหลังจากเหตุการณ์ที่คาลวารี ยุคใหม่ได้เริ่มขึ้นพร้อมด้วยฤทธิ์เดชแห่งการสถิตอยู่ของพระวิญญาณ “ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 2:2-4)

The missions of both Jesus and the Holy Spirit were totally interdependent. The fullness of the Holy Spirit could not be given until Jesus had completed His mission. And Jesus, in turn, was conceived of the Spirit (Matt. 1:8-21), baptized by the Spirit (Mark 1:9, 10), led by the Spirit (Luke 4:1), performed His miracles through the Spirit (Matt. 12:24-32), offered Himself at Calvary through the Spirit (Heb. 9:14, 15) and was, in part, resurrected by the Spirit (Rom. 8:11).

พันธกิจของพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างพึ่งพากันและกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถประทานให้มาอย่างเต็มล้นจนกว่าพระเยซูทรงกระทำพันธกิจของพระองค์สมบูรณ์ อีกด้านหนึ่ง พระเยซูทรงปฏิสนธิโดยพระวิญญาณ (มัทธิว 1:8-21) บัพติศมาโดยพระวิญญาณ (มาระโก 1:9, 10) ได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณ (ลูกา 4:1) ทรงกระทำการอัศจรรย์โดยพระวิญญาณ (มัทธิว 12:24-32) ถวายตัวพระองค์ที่ภูเขาคาลวารีโดยพระวิญญาณ (ฮีบรู 9:14, 15) และทรงมีส่วนในการคืนพระชนม์โดยพระวิญญาณ (โรม 8:11)

Jesus was the first person to experience the fullness of the Holy Spirit. The astounding truth is that our Lord is willing to pour out His Spirit on all who earnestly desire Him.

พระเยซูทรงเป็นบุคคลแรกผู้ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเต็มล้น ความจริงอันน่าอัศจรรย์ก็คือ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงยินดี เทพระวิญญาณของมาแก่บรรดาชาวโลกผู้ปรารถนาจะรับพระองค์

The Mission of the Holy Spirit

The evening before Christ's death His words about His impending departure greatly troubled His disciples. He immediately assured them that they would receive the Holy Spirit as His personal representative. They would not be left as orphans (John 14:18).

พระราชกิจ (พันธกิจ) ของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ในคืนก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ พระดำรัสของพระองค์เกี่ยวกับการที่จะต้องจากอัครสาวกไป ได้สร้างความทุกข์ใจแก่พวกเขาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ได้ทรงให้กำลังใจพวกเขาทันว่าจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นผู้แทนของพระองค์เอง พวกเขาจะไม่ถูกทิ้งให้เป็นลูกกำพร้า (ยอห์น 14:18)

The Origin of the Mission

The New Testament reveals the Holy Spirit in a unique way. He is called the "Spirit of Jesus" (Acts 16:7, NIV), "Spirit of His Son" (Gal. 4:6), "Spirit of God" (Rom. 8:9), the "Spirit of Christ" (Rom. 8:9; 1 Peter 1:11), and the "Spirit of Jesus Christ" (Phil. 1:19). Who originated the Holy Spirit's mission—Jesus Christ or God the Father?

รากฐานแห่งพันธกิจ

พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่เปิดเผยให้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยวิธีพิเศษ พระองค์ได้รับการเรียกว่าเป็น “พระวิญญาณของพระเยซู” (กิจการ 16:7) “พระวิญญาณของพระบุตร” (กาลาเทีย 4:6) “พระวิญญาณของพระเจ้า” (โรม 8:9) “พระวิญญาณของพระคริสต์” (โรม 8:9; 1 เปโตร 1:11) “พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์” (ฟีลิปปี 1:19) พระองค์ใดคือผู้ริเริ่มพระราชกิจของพระวิญญาณ? พระเยซูคริสต์หรือพระบิดา?

When Christ revealed the origin of the Holy Spirit's mission to a lost world, He mentioned two sources. First, He referred to the Father: "'I will pray the Father, and He will give you another Helper'" (John 14:16; cf. 15:26, "'from the Father'"). The baptism with the Holy Spirit He called "the Promise of the Father" (Acts 1:4). Second, Christ referred to Himself: "'I will send Him [the Spirit] to you'" (John 16:7). Thus the Holy Spirit proceeds from both the Father and the Son.

เมื่อพระคริสต์ทรงสำแดงที่เริ่มต้นของพันธกิจแห่งพระวิญญาณที่มีเพื่อโลกที่หลงหายไป พระองค์ทรงกล่าวถึงแหล่งที่มาสองแห่ง แห่งแรก พระองค์ทรงหมายถึงพระบิดา “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน” (ยอห์น 14:16 บทที่ 15:26, “จากพระบิดา”) การรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นพระเยซูทรงกล่าวว่าจะเป็นไป “ตามพระสัญญาของพระบิดา” (กิจการ 1:4) แหล่งที่สอง พระคริสต์ทรงตรัสว่ามารจากพระองค์เอง “เราก็จะใช้พระองค์ (พระวิญญาณ) มาหาท่าน” (ยอห์น 16:7) ดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงมาจากทั้งพระบิดาและพระบุตร

His Mission to the World

We can acknowledge Christ's Lordship only through the influence of the Holy Spirit. Said Paul, "No one can say that Jesus is Lord except by the Holy Spirit" (1 Cor. 12:3). We are given the assurance that, through the Holy Spirit, Christ, "the true Light," illuminates "every man who comes into the world" (John 1:9). His mission is to "'convict the world of sin, and of righteousness, and of judgment'" (John 16:8).

พันกิจสู่โลก

เราจะสามารถยอมรับความเป็นเจ้าของพระคริสต์ได้ก็โดยอำนาจการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลกล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถพูดว่า ‘พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากจะพูดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์’” (1 โครินธ์ 12:3) เราได้รับหลักประกันว่า พระคริสต์ทรงเป็น “ความสว่างแท้” ผู้ทรงฉายแสง “ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก” (ยอห์น 1:9) พันธกิจของพระวิญญาณคือ “ทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา” (ยอห์น 16:8)

First, the Holy Spirit brings to us a deep conviction of sin, especially the sin of not accepting Christ (John 16:9). Second, the Spirit urges all to accept the righteousness of Christ. Third, the Spirit warns us of judgment, a powerful tool in stirring up sin-darkened minds to the need of repentance and conversion.

ประการแรก พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเรารู้แจ้งถึงความบาปอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะบาปที่ไม่ยอมรับเอาพระคริสต์ (ยอห์น 16:9) ประการที่สอง พระวิญญาณทรงกระตุ้นเตือนทุกคนให้ยอมรับเอาความชอบธรรมของพระคริสต์ ประการที่สาม พระวิญญาณทรงเตือนเราให้รู้ถึงการพิพากษา เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการกระตุ้นเตือนจิตใจที่ถูกบาปครอบงำจนมืดมิด เพื่อให้เห็นความสำคัญของการกลับใจใหม่และเปลี่ยนใจใหม่

When we have repented we can be born again through the baptism of water and the Holy Spirit (John 3:5). Then ours is a new life, for we have become the dwelling place of the Spirit of Christ.

เมื่อเรากลับใจใหม่แล้ว ก็สามารถเกิดใหม่ได้โดยการบัพติศมาด้วยน้ำ และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยอห์น 3:5) จากนั้นจึงจะมีชีวิตใหม่ เพราะชีวิตนี้ได้เป็นที่สถิตอยู่ของพระวิญญาณของพระคริสต์แล้ว

.His Mission for Believers.

The majority of texts concerning the Holy Spirit pertain to His relationship with God's people. His sanctifying influence leads to obedience (1 Peter 1:2), but no one continues to experience His abiding presence without meeting certain conditions. Peter said God has given the Spirit to those who continuously obey Him (Acts 5:32).1 Thus, believers are warned about resisting, grieving, and quenching the Spirit (Acts 7:51; Eph. 4:30; 1 Thess. 5:19).

.พันธกิจของพระวิญญาณเพื่อบรรดาผู้เชื่อ

ข้อพระคัมภีร์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์มักพูดถึงความสัมพันธ์ของพระองค์ที่มีต่อประชากรของพระเจ้า การชำระให้บริสุทธิ์ของพระองค์นำไปสู่การเชื่อฟัง (1 เปโตร 1:2) แต่ไม่มีใครที่จะได้รับประสบการณ์เข้าสนิทกับพระองค์อย่างต่อเนื่องโดยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ เปโตรกล่าวว่า พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณแก่บรรดาผู้เชื่อฟังพระองค์ (กิจการ 5:32)1 เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายจึงได้รับการเตือนสอนว่าอย่าต่อสู้พระวิญญาณ อย่าทำให้พระวิญญาณเสียพระทัยและอย่าขัดขวาง (ดับ) พระวิญญาณ (กิจการ 7:51 เอเฟซัส 4:30; 1 เธสะโลนิกา 5:19)

What does the Spirit do for believers?

1. He assists believer.

When introducing the Holy Spirit, Christ called Him "'another Parakletos'" (John 14:16). This Greek word has been translated as "Helper" (NKJV), "Comforter" (KJV), "Counselor" (RSV), and can mean also "Intercessor," "Mediator," or "Advocate."

พระวิญญาณทรงทำอะไรแก่บรรดาผู้เชื่อ?

1.พระองค์ช่วยเหลือผู้เชื่อ

เมื่อพระคริสต์ทรงแนะนำให้รู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเรียกพระวิญญาณว่า “ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง” (ยอห์น 14:16) คำนี้ในภาษากรีก “Parakletos'" มักแปลว่า “ผู้ช่วย” “ผู้ปลอบโยน” “ผู้ให้คำแนะนำ” เป็นต้น และมีความหมายถึง “ผู้ทูลขอ” “ผู้เป็นคนกลาง” หรือ “ผู้ช่วยทูลขอ”

The only other Parakletos mentioned in Scripture is Christ Himself. He is our Advocate or Intercessor before the Father. "My little children, these things I write to you, that you may not sin. And if anyone sins, we have an Advocate with the Father, Jesus Christ the righteous" (1 John 2:1).

ผู้ช่วยเหลืออีกท่านหนึ่งที่พระเยซูทรงกล่าวถึงในพระคัมภีร์ ก็คือพระคริสต์เอง พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยทูลขอของเราต่อพระบิดา “ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าใครทำบาป เราก็มีผู้ช่วยทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น” (1 ยอห์น 2:1)

As Intercessor, Mediator, and Helper, Christ presents us to God and reveals God to us. Similarly, the Spirit guides us to Christ and manifests Christ's grace to us. This explains why the Spirit is called the "Spirit of grace" (Heb. 10:29).

ในฐานะผู้ทูลขอ คนกลางและผู้ช่วย พระคริสต์ทรงทูลเรื่องราวทั้งหมดของเราต่อพระเจ้า และทรงเปิดเผยพระเจ้าให้แก่เราได้ทราบ พระวิญญาณก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงนำชีวิตของเราเข้าไปหาพระคริสต์ และทรงเปิดพระคุณของพระคริสต์แก่เราทั้งหลาย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าพระองค์ได้รับพระนามว่า “พระวิญญาณแห่งพระคุณ” (ฮีบรู 10:29)

One of His greatest contributions is the application of Christ's redeeming grace to people (see 1 Cor. 15:10; 2 Cor. 9:14; James 4:5, 6).

การสนับสนุนอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของพระวิญญาณคือ การนำเอาพระคุณแห่งการไถ่ให้รอดของพระคริสต์ไปสู่คนทั้งหลาย (ดู 1 โครินธ์ 15:10; 2 โครินธ์ 9:14 ยากอบ 4:5, 6)

2.He brings the truth of Christ.

Christ called the Holy Spirit the "'Spirit of truth'" (John 14:17; 15:26; 16:13). His functions include bringing "'to your remembrance all things that I said to you'" (John 14:26) and guiding "'you into all truth'" (John 16:13). His message testifies to Jesus Christ (John 15:26). "'He will not speak on His own authority, '" Christ said, "'but whatever He hears He will speak; and He will tell you things to come. He will glorify Me, for He will take of what is Mine and declare it to you'" (John 16:13, 14).

2.พระองค์ทรงนำความจริงของพระคริสต์มาให้

พระคริสต์ทรงเรียกพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “พระวิญญาณแห่งความจริง” (ยอห์น 14:17; 15:26; 16:13) หน้าที่ของพระวิญญาณรวมถึงการนำ “พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล.....พระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน” (ยอห์น 14:26) และจะ “นำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยอห์น 16:13) ถ้อยคำของพระองค์เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 15:26) พระคริสต์ทรงตรัสว่า “เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน” (ยอห์น 16:13, 14)

3.He brings the presence of Christ

Not only does He bring the message about Christ, He brings the very presence of Christ. Jesus said, "'It is to your advantage that I go away; for if I do not go away, the Helper [Holy Spirit, John 14:16, 17] will not come to you; but if I depart, I will send Him to you'" (John 16:7).

3.พระองค์ทรงนำการประทับอยู่ของพระคริสต์มาสู่เรา

พระวิญญาณมิได้เพียงนำเอาเรื่องราวของพระคริสต์มาสู่เราเท่านั้น พระองค์ทรงนำเอาพระคริสต์มาด้วย พระเยซูทรงตรัสว่า “อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วย (พระวิญญาณบริสุทธิ์ ยอห์น 14:16, 17) ก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” (ยอห์น 16:7)

Cumbered with humanity, the Man Jesus was not omnipresent, which was why it was expedient that He depart. Through the Spirit He could be everywhere all the time. Jesus said, "'I will pray the Father, and He will give you another Helper, that He may abide with you forever, even the Spirit of truth.'" He gave the assurance that the Spirit was to dwell "'with you and will be in you. I will not leave you orphans; I will come to you'" (John 14:17, 18).

เพราะการอยู่ในสภาพของมนุษย์ที่มีข้อจำกัด บุรุษนามว่าพระเยซูจึงไม่ใช่องค์สากลสถิต (ประทับอยู่ได้ทุกคนหนทุกแห่ง) นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระองค์ต้องจากไปเพื่อความคล่องตัว ขณะนี้พระองค์สามารถเคลื่อนไหวได้ทุกแห่ง ทุกเวลาโดยทางพระวิญญาณ พระเยซูทรงตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง” พระเยซูทรงให้หลักประกันว่าพระวิญญาณจะประทับอยู่ “พระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน “เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน” (ยอห์น 14:16, 17, 18)

"The Holy Spirit is Christ's representative, but divested of the personality of humanity, and independent thereof."2 At the incarnation the Holy Spirit brought the presence of Christ to a person—Mary. At Pentecost, the Spirit brought the victorious Christ to the world. Christ's promises—"'I will never leave you nor forsake you'" (Heb. 13:5) and "'I am with you always, even to the end of the age'" (Matt. 28:20)—are realized through the Spirit. For this reason the New Testament gives the Spirit a title never used of Him in the Old Testament—"the Spirit of Jesus" (Phil. 1:19).

“พระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้แทนของพระคริสต์ แต่ทรงปลดเปลื้องสภาพของมนุษย์แล้ว และมีความเป็นอิสระ”2เมื่อพระคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำเอาองค์ (ตัวตน) ของพระคริสต์ การสถิตอยู่ของพระองค์มาอยู่ในชีวิตของมารีย์ ในวันเพนเทคอส พระวิญญาณทรงนำพระคริสต์ผู้ทรงมีชัยมาในโลก พระคริสต์ทรงสัญญาไว้ว่า “เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮีบรู 13:5) และ “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20) สามารถรู้สึกได้โดยพระวิญญาณ ด้วยเหตุผลนี้ พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่จึงเคยใช้พระนามของพระวิญญาณที่พันธสัญญาเดิมไม่เคยใช้ว่า “พระวิญญาณของพระเยซู” (ฟีลิปปี 1:19)

Just as it is through the Spirit that both the Father and the Son make believers Their home (John 14:23), so the only way believers can abide in Christ is through the Spirit.

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พระบิดาและพระบุตรจึงมาอยู่กับผู้เชื่อทั้งหลายโดยทางพระวิญญาณ (ยอห์น 14:23) ดังนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายสามารถเข้าสนิทกับพระคริสต์ได้ก็โดยทางพระวิญญาณ

4.He guides the operation of the church

-Since the Holy Spirit brings the very presence of Christ, He is the true Vicar of Christ on earth. As the abiding center of authority in matters of faith and doctrine the ways in which He leads the church accord fully with the Bible. "The distinctive feature of Protestantism—without which there would be no Protestantism—is that the Holy Spirit is the true vicar or successor of Christ on earth. To depend on organization, or leaders, or wisdom of men, is to put the human in place of the divine."

4.พระองค์ทรงนำในการดำเนินงานของคริสตจักร

- นับตั้งแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเอาการสถิตอยู่ด้วยของพระคริสต์มาสู่เรา พระวิญญาณจึงเป็นผู้แทนของพระบุตรในโลกอย่างแท้จริง (Vicar of Christ) ในฐานะที่ทรงเป็นศูนย์กลางแห่งสิทธิอำนาจแห่งความเชื่อและหลักความเชื่อ วิธีการนำพาคริสตจักรของพระวิญญาณเป็นไปตามพระคัมภีร์อย่างสมบูรณ์ “สิ่งที่ทำให้คริสตจักรโปรเตสแตนท์แตกต่างจากคริสตจักรอื่นนั้น หากขาดสิ่งนี้ก็ไม่ใช่โปรเตสแตนท์อีกต่อไป ท่านผู้นั้นก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์คือผู้แทนของพระคริสต์ในโลกที่แท้จริง หากผู้ใดพึ่งพาองค์กร หรือผู้นำ หรือปัญญาของมนุษย์ ก็เท่ากับว่าเขานำเอามนุษย์มาแทนที่พระเจ้า

The Holy Spirit was intimately involved in administrating the apostolic church. In selecting missionaries the church obtained His guidance through prayer and fasting (Acts 13:1-4). The individuals selected were known for their openness to the Spirit's leading. The book of Acts describes them as "filled with the Holy Spirit" (Acts 13:9, cf. 52). Their activities were under His control (Acts 16:6, 7). Paul reminded church elders that they had been put into their position by the Holy Spirit (Acts 20:28).

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับในการดำเนินกิจการของคริสตจักร ในการเลือกผู้ประกาศข่าวประเสริฐในต่างถิ่นต่างแดน คริสตจักรได้รับการทรงนำของพระวิญญาณโดยการอธิษฐานและอดอาหาร (กิจการ 13:1-4) แต่ละคนที่ได้รับการเลือกมานั้น ต่างเปิดกว้างเพื่อการทรงนำของพระวิญญาณ พระธรรมกิจการได้บรรยายคนเหล่านั้นว่า “เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กิจการ 13:9 อ่านข้อ 52) กิจการต่าง ๆ ของพวกเขาล้วนอยู่ภายใต้การจัดการดูแลของพระองค์ (กิจการ 16:6, 7) เปาโลได้เตือนผู้ปกครองคริสตจักรว่า เขาได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งโดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 20:28)

The Holy Spirit played an important role in resolving serious difficulties that threatened the unity of the church. Indeed, Scripture introduces the decisions of the first church council with the words "It seemed good to the Holy Spirit, and to us. . ." (Acts 15:28).

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหายุ่งยากรุนแรงที่คุกคามความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของคริสตจักร แท้จริงแล้ว พระวัจนะของพระเจ้าได้แสดงให้เห็นวิธีการตัดสินใจของคริสตจักรในการประชุม (สภา) คริสตจักรได้รับคำแนะนำว่า “เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และเราเห็นชอบ.....” (กิจการ 15:28)

5.He equips the church with special gifts

The Holy Spirit has bestowed special gifts on God's people. In Old Testament times "the Spirit of the Lord" came "upon" individuals, giving them extraordinary powers to lead and deliver Israel (Judges 3:10; 6:34; 11:29; etc.) and the ability to prophesy (Num. 11:17, 25, 26; 2 Sam. 23:2). The Spirit came upon Saul and David when they were anointed as rulers of God's people (1 Sam. 10:6, 10; 16:13). To some people, the infilling of the Spirit brought unique artistic skills (Ex. 28:3; 31:3; 35:30-35).

5.พระองค์ทรงมอบของประทานฝ่ายพระวิญญาณแก่คริสตจักร

พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงมอบของประทานฝ่ายพระวิญญาณแก่ประชากรของพระเจ้า ในสมัยพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม “พระวิญญาณของพระเจ้า” เสด็จมา “สถิต” กับแต่ละคน มอบฤทธิ์เดชพิเศษให้แก่คนเหล่านั้นเพื่อนำและปลดปล่อยอิสราเอล (ผู้วินิจฉัย 3:10; 6:34; 11:29 ฯลฯ) และมีความสามารถในการพยากรณ์ (กันดารวิถี 11:17, 25, 26; 2 ซามูเอล 23:2) พระวิญญาณเสด็จมาประทับอยู่กับเซาโลและดาวิด เมื่อทั้งสองท่านนี้ได้รับการเจิมให้เป็นผู้นำประชากรของพระเจ้า (1 ซามูเอล 10:6, 10; 16:13) สำหรับบางคน พระวิญญาณทรงประทับอยู่กับเขาให้มีความสามารถด้านศิลปะพิเศษต่าง ๆ (อพยพ 28:3; 31:3; 35:30-35)

In the early church, as well, it was through the Holy Spirit that Christ bestowed His gifts on the church. The Spirit distributed these spiritual gifts to believers as He saw fit, thus benefiting the whole church (Acts 2:38; 1 Cor. 12:7-11). He provided the special power necessary for proclaiming the gospel to the ends of the earth (Acts 1:8; see chapter 16 of this book).

ในคริสตจักรยุคแรกก็เช่นกัน พระคริสต์ได้ทรงมอบของประทานฝ่ายพระวิญญาณต่าง ๆ ให้แก่คริสตจักรโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณได้มอบของประทานเหล่านั้นแก่ผู้เชื่อทั้งหลายตามที่ทรงเห็นว่าเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นประโยชน์แก่คริสตจักรโดยรวม (กิจการ 2:38; 1 โครินธ์ 12:7-11) พระองค์ทรงมอบฤทธิ์เดชที่จำเป็นเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐจนทั่วสุดปลายแผ่นดินโลก (กิจการ 1:8 ดูบทที่ 17 ของหนังสือเล่มนี้)

6.He fills the heart of believers

Paul's query to the disciples at Ephesus, "'Did you receive the Holy Spirit when you believed?'" (Acts 19:2), is a crucial question for every believer.When Paul received a negative reply he laid hands on those disciples, and they received the baptism of the Holy Spirit (Acts 19:6).

6.พระองค์ทรงเข้ามาประทับอยู่ในจิตใจของบรรดาผู้เชื่อ

เปาโลถามสาวกที่เมืองเอเฟซัสว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า?” (กิจการ 19:2) เป็นคำถามที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้เชื่อพระเยซูทุกคน เมื่อเปาโลได้รับคำตอบในทางลบ เขาได้วางมือเหนือบรรดาสาวกเหล่านั้นและพวกเขาก็ได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 19:6)

This incident indicates that the conviction of sin brought about by the Holy Spirit and the Spirit's infilling of the life are two different experiences.

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งบ่งบอกว่าการสำนึกในการบาปเกิดขึ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ประสบการณ์ทั้งสองนี้มีความแตกต่างกัน

Jesus pointed out the necessity of being born of water and of the Spirit (John 3:5). Just before His ascension He commanded new believers to be baptized "'in the name of the Father and of the Son and of the Holy Spirit'" (Matt. 28:19). In harmony with this command Peter preached that "'the gift of the Holy Spirit'" is to be received at baptism (Acts 2:38). And Paul confirms the importance of the baptism of the Holy Spirit (see chapter 14 of this book) with an urgent appeal that believers "be filled with the Spirit" (Eph. 5:18).

พระเยซูทรงชี้ไปที่ความจำเป็นในการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ (ยอห์น 3:5) djvomujพระองค์จะเสด็จขึ้นบนสวรรค์ พระองค์ทรงมีพระมหาบัญชาให้ผู้เชื่อทั้งหลายให้รับบัพติศมา “ในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:19) เพื่อให้สอดคล้องตามพระมหาบัญชานี้ เปโตรจึงเทศนาว่า “ท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์” ก็คือได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง (กิจการ 2:38) และเปาโลได้ย้ำถึงความสำคัญของการรับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดูบทที่ 15 ของหนังสือเล่มนี้) ด้วยการขอร้องและกระตุ้นเตือนให้ผู้เชื่อทั้งหลายได้ “เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ” (เอเฟซัส 5:18)

The infilling of the Holy Spirit, transforming us into the image of God, continues the work of sanctification begun at the new birth. God has saved us according to His mercy "through the washing of regeneration and renewing of the Holy Spirit, whom He poured out on us abundantly through Jesus Christ our Saviour" (Titus 3:5, 6).

การได้รับเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น จะทำให้เราทั้งหลายได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ไปสู่พระฉายาของพระเจ้า มุ่งหน้าไปสู่การเริ่มต้นเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์ในการเกิดใหม่ต่อไป พระเจ้าได้ช่วยเราให้รอดตามพระเมตตาของพระองค์ “โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณองค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ผ่านทาง พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (ทิตัส 3:5, 6)

"It is the absence of the Spirit that makes the gospel ministry so powerless. Learning, talent, eloquence, every natural or acquired endowment may be possessed; but, without the presence of the Spirit of God, no heart will be touched, no sinner won to Christ. On the other hand, if they are connected with Christ, if the gifts of the Spirit are theirs, the poorest and most ignorant of His disciples will have a power that will tell upon hearts. God makes them channels for the outflowing of the highest influence in the universe."

“การที่การประกาศข่าวประเสริฐไม่มีพลัง (ไม่เกิดผล) ก็เพราะขาดพระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย เราอาจแสวงหาความรู้ ความสามารถ ความช่ำชอง ความสามารถตามธรรมชาติหรือที่ฝึกฝนมา แต่หากไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย จะไม่มีจิตใจของผู้ใดได้รับการสัมผัส จะไม่สามารถเอาชนะคนบาปมามอบให้พระคริสต์ได้ อีกด้านหนึ่ง ถ้าเราเข้าสนิทกับพระคริสต์ มีของประทานของพระวิญญาณ แม้คนยากจนที่สุดและคนที่ความรู้น้อยที่สุดในบรรดาอัครสาวกก็จะมีฤทธิ์เดชที่สามรารถสัมผัสจิตใจคนทั้งหลายได้ พระเจ้าทรงสร้างให้เขาเป็นท่อแห่งพระพรที่จะมีอำนาจจูงใจคนในโลกได้อย่างมากมาย

The Spirit is vital. All of the changes Jesus Christ effects in us come through the ministry of the Spirit. As believers we should be constantly aware that without the Spirit we can accomplish nothing (John 15:5).

พระวิญญาณมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่พระเยซูทำให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราล้วนมาจากการทำหน้าที่ของพระวิญญาณทั้งสิ้น ในฐานะของผู้เชื่อ เราจะต้องระมัดวังเสมอว่าหากขาดพระวิญญาณเมื่อใด เราก็ไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ (ยอห์น 15:5)

Today the Holy Spirit directs our attention to the greatest gift of love God proffers in His Son. He pleads that we not resist His appeals, but accept the only way whereby we can be reconciled to our loving and gracious Father.

วันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงนำเราให้มุ่งความสนใจไปที่ของประทานอันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งความรักของพระเจ้าที่ทรงมอบให้ในพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงวิงวอนไม่ให้เราขัดขืนการเชิญชวนของพระองค์ แต่ให้ยอมรับไว้ อันเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เราทั้งหลายสามารถกลับคืนดีกับพระบิดาผู้ทรงรักและทรงพระคุณของเรา

References

หนังสืออ้างอิง

1. See Arnold V. Wallenkampf, New by the Spirit (Mountain View, CA: Pacific Press, 1978), pp. 49, 50.

2. White, Desire of Ages, p. 669.

3. LeRoy E. Froom, The Coming of the Comforter, rev. ed. (Washington, D.C.: Review and Herald, 1949), pp. 66, 67.

4. White, Testimonies for the Church (Mountain View, CA: Pacific Press, 1948), vol. 8, pp. 21, 22.